องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

การ เกิดของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

เพื่อ เข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจากภาวะการมีบุตรยากซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้ง ครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

ทาง การแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้ง เชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

จะเห็นว่าถ้า ตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ มีบุตรยากไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

หากพิจารณา ว่าธรรมชาติของการ หยั่งลงในครรภ์เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีก ต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและ ต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภาย หลัง

ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่ง ที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตาม ธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น เป็นวิทยาศาสตร์คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่ง ความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

ถ้า ไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า บังเอิญเช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบ สำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

กรณีคอมพิวเตอร์ ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุด ท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ไม่มีใครเหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า บุญพอนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์

ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดี ไว้มากพอดูทีเดียว

การพูดแค่ ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

ใน ทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

การ ก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

สรุปคือถ้าถามว่า ใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตาม อำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง



ตัดตอนมาจาก เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน (บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?)